วิกฤตน้ำท่วมไทย บทเรียนและแนวท

างแก้ปัญหา

[วันที่ 22 พ.ย. 2553]

          จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในประเทศไทย เมื่อกลางเดือนต.ค. คาบเกี่ยวไปถึงต้นเดือนพ.ย. ที่ผ่านมา ได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงในหลายพื้นที่ ไล่มาตั้งแต่ภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ไปจนถึงภาคใต้ ประชาชนนับแสนนับล้านชีวิต ต้องระทมทุกข์จากภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่นพายุดีเปรสชัน และดินถล่มในภาคใต้ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท

         เพื่อเป็นการสรุปบทเรียน และมองไปถึงวิธีป้องกันปัญหานี้ไม่ให้เกิดซ้ำรอยในอนาคตสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงจัดเสวนาเรื่อง 'วิกฤตน้ำท่วมประเทศไทย : บทเรียนและแนวทางอนาคต'ที่อาคารสถาบัน 3 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา พร้อมเชิญผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิมาร่วมหาทางออกประกอบด้วย

          ดร.รอยล จิตรดอน ผอ.สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
          นายเลอศักดิ์ ริ้วตระกูลไพบูลย์  ผอ.สำนักพัฒนาโครงการและระบบบริหารจัดการน้ำกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
          นายศรีสมบัติ พรประสิทธิ์ รองอธิบดีกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย
          นายปรีชา รณรงค์ ผู้ทรงคุณวุฒิกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย

          โดยมี ดร.ทวี ศรีบุรี ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาฯ ทำหน้าที่ดำเนินรายการ ท่ามกลางผู้เข้าร่วมรับฟังจำนวนมาก

          ศ.น.พ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเปิดการเสวนาว่า
          เหตุการณ์น้ำท่วมในปีนี้แม้จะเตรียมการรับมือเป็นอย่างดีแต่ถือว่าหนักกว่าทุกปี บางพื้นที่ไม่เคยท่วมก็ท่วม จุฬาฯ ในฐานะที่เป็นสถาบันการศึกษาและวางวิสัยทัศน์เป็นเสาหลักของแผ่นดินด้านการวิจัย ได้ศึกษาปัญหาน้ำท่วมอย่างละเอียดมาตั้งแต่ปี 2525 จนถึงปัจจุบันด้วยการบูรณาการร่วมกันคิดในมุมมองของนักวิชาการแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างเป็นระบบครบวงจรก่อนเริ่มเกิดน้ำท่วม ในช่วงน้ำท่วม และหลังน้ำท่วมว่าทำอย่างไรบ้าง

          แต่การแก้ปัญหาน้ำท่วมที่ต้นเหตุแก้ยากเพราะบางพื้นที่มีปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก และข้อมูลการเสวนาครั้งนี้จะสรุปเป็นรายงานเสนอต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

          จากนั้นดร.รอยล เริ่มต้นเปิดประเด็นว่า'จุดอ่อน'ของประเทศไทย คือ ใช้ทฤษฎีฝรั่งมาแก้ปัญหาโดยไม่ดูถึงความเหมาะสมของประเทศ

          บทเรียนนี้คงต้องมีการทบทวนเรื่อง'โครงสร้างในการแก้ปัญหาน้ำท่วม'กันใหม่เพราะแผนป้องกันน้ำท่วมที่มีอยู่นั้นส่วนใหญ่หน่วยงานที่รับผิดชอบจะต่างคนต่างทำการจะนำไปใช้ยังน้อยอยู่ รวมทั้งการกำหนดแผนต่างๆ จะมาจากพื้นที่ส่วนกลาง โดยไม่คำนึงถึงพื้นที่อื่น เช่น ในชนบท อีสาน ที่ต้องใช้แผนป้องกันคนละอย่าง

          นอกจากนั้น ปีนี้ยังเกิดปัญหา 'น้ำตกค้าง'หรือถูกทิ้งไว้ในพื้นที่โดยไม่ระบายน้ำออกสู่แม่น้ำมีจำนวนมาก เช่น อยุธยา สิงห์บุรีอ่างทอง ชัยนาท เป็นต้น

          "ผมเห็นว่าควรทบทวนโครงสร้างแผนป้องกันน้ำท่วมที่มีอยู่ แต่ไม่ได้ให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาใหม่ เพราะถ้าตั้งใหม่แล้ว จะยุ่งเนื่องจากของเก่าก็ยังไม่ได้แก้ อีกทั้งควรมีผู้สั่งการที่ชัดเจนโดยเฉพาะในสถานการณ์ภาวะฉุกเฉินด้วย"

          ดร.รอยล กล่าวต่อว่า 'โครงสร้างน้ำ' ของประเทศไทยต้องมาดูว่าการไหลของน้ำเดินทางอย่างไร ซึ่งสำคัญมากปัจจุบัน 'การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ'ทำให้โครงสร้างน้ำโดยเฉพาะการบริหารจัดการจะต้องมีการปรับอยู่ตลอดเวลารวมทั้งต้องมีแผนยืดหยุ่น

          ปีนี้เห็นชัดเลยว่า ฝนไม่ตกเหนือเขื่อนภูมิพล แต่ฝนไปตกเหนือเขื่อนสิริกิติ์ ซึ่งรองรับน้ำได้น้อยกว่า ฝนที่ตกและทำให้เกิดน้ำท่วมในปีนี้ คือ ฝนที่ตกในจ.นครสวรรค์ จ.พิจิตร เพราะเราไม่มีโครงสร้างที่จะไปช่วยในการบริหารจัดการ สิ่งที่เรามีอยู่คือเขื่อนเจ้าพระยาเขื่อนพระราม 6 มันเดินไม่ได้ รวมทั้งข้อมูลก็ไม่ทันเหตุการณ์

          "หลักแนวคิดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเมื่อวันที่10 ก.ค. 2553 ถ้าจะบูรณาการกันได้หลักคิดจะต้องรวมกัน เช่น หลักคิดอีสานเราเชื่อว่าแล้ง เราสามารถผันน้ำจากแม่น้ำโขงได้ แต่ถ้าเราเชื่อว่ามันท่วม เราต้องแก้อีกแบบ.."

          "แต่ถ้าเราเชื่อว่ามันทั้งท่วมและแล้งด้วย แนวคิดนี้จะต้องตรงกันจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่เช่นนั้นถ้าหน่วยงานของใครของมันต่างทำโดยไม่คิดถึงภาพรวมมันก็จะเกิดปัญหา แต่ถ้าทุกหน่วยงานร่วมกันช่วยกันและนำบทเรียนน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้มาเป็นแนวทางวางแผนเชื่อว่าปัญหาน้ำท่วมคงน้อยลง และยังสามารถใช้น้ำที่ท่วมได้มีประสิทธิภาพ"ดร.รอยล กล่าว

          ผอ.สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำฯ เสนอแนะด้วยว่า หลักคิดง่ายๆ การแก้ปัญหาน้ำท่วม ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่กทม. หรือต่างจังหวัด เช่น นครสวรรค์ คือ การมองว่าแก้แบบไหน ถ้าแก้ที่นครสวรรค์ได้พื้นที่เกษตรเพิ่ม ถ้าแก้ที่กรุงเทพฯ ปัญหาผลกระทบด้านเศรษฐกิจก็น้อยลง

          การแก้ปัญหาน้ำท่วมต้องแก้ที่ต้นเหตุ อาจจะต้องออกกฎหมายที่มาจากรัฐสภา ไม่ใช่ออกโดยรัฐบาล แม้ว่ารัฐบาลจะร่างในการแก้ปัญหาน้ำท่วมไว้อย่างไรก็ไม่เดิน เพราะกฎหมายเขียนเรื่องอำนาจ แต่ไม่มีการเอาใจใส่ในเรื่องหน้าที่

          "ผมอยากถามกทม.ว่า ท่อระบายน้ำจากหัวลำโพงที่จะระบายน้ำไปลงที่คลองเตยในวันนี้ จะปรับไหมหรือจะทุบทิ้งแล้วสร้างใหม่เราไม่เคยเข้าสู่วงจรข้อมูลปัจจุบันเลย ตรงนี้เป็นโจทย์ที่คนทั้งชาติต้องมาช่วยกันทำและคิด กฎหมายที่ออกต้องเป็นแบบเชิงรัฐศาสตร์ ไม่ใช่กฎหมายเชิงนิติศาสตร์ ถ้าใครอาสารับมาทำก็ต้องมีความรับผิดชอบและเชื่อว่าใน 4-5 เดือนข้างหน้า เราคงจะเจออีกและเจอถุงยังชีพอีกเหมือนเดิม"ดร.รอยล กล่าว

          ด้าน นายเลอศักดิ์ ผอ.สำนักพัฒนาโครงการและระบบบริหารจัดการน้ำ กล่าวว่า กรมชลประทานนั้นจริงๆ แล้วรับผิดชอบเฉพาะ'พื้นที่การเกษตร' ในการบริหารจัดการน้ำเข้าสวนไร่นา ส่วนการแก้ปัญหาในเมือง หากรัฐบาลร้องขอมาเราก็ช่วยดำเนินการให้ได้ เหมือนกับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2526 ที่กรมชลประทานถูกร้องขอจากรัฐบาลให้ช่วยเข้ามาจัดการ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้สั่งการและสามารถสร้างเขื่อนอ่างเก็บน้ำเสร็จในปี 2527 สามารถรองรับน้ำฝนพันปีในตอนนั้น จนมาปี 2538 เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่อีกครั้งเนื่องจากพื้นที่สีเขียวหายไป ทำให้ต้องมาสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์และคลองลัดโพธิ์

          "ที่ผมเท้าความให้เห็นมันเกิดจากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามาโดยตลอดเกี่ยวกับน้ำท่วมในกรุงเทพฯ ส่วนที่ถามว่าจะมีการบูรณาการหรือไม่นั้น ต้องดูมุมมองของหลายหน่วยงานเกี่ยวข้อง เช่น กรณีแก้ปัญหาน้ำท่วมขังถนนสุขุมวิท 62 ที่สร้างถนนเสร็จแล้วทางเดินน้ำก็น้อยลงฝนตกน้ำ  ก็ท่วมและพบว่าต้องมาขุดเพื่อวางท่อระบายน้ำทีหลังแบบนี้เป็นต้น"นายเลอศักดิ์ กล่าวและว่า กรณีน้ำท่วมในอ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพราะการสร้างถนนลพบุรีราเมศวร์ หรือที่จ.นครราชสีมา ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน

          นายศรีสมบัติ รองอธิบดีปภ. ระบุว่ากรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) เป็นหน่วยงานน้องใหม่เกิดขึ้นเมื่อ8 ปีที่ผ่านมา หน้าที่ตรงตั้งแต่ปกครองถึงกรมประชาสงเคราะห์ คือ ป้องกัน บรรเทา และฟื้นฟูให้เงินชดเชยค่าเสียหายจากน้ำท่วมไม่ว่าจะเป็นบ้านคน หรือพื้นที่การเกษตร หากดู ดีๆปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับธรรมชาตินั้น 'เกิดจากน้ำมือของมนุษย์'เป็นผู้สร้างและผู้ทำลายในเวลาเดียวกัน

          "ปัญหาน้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมาผมเห็นว่าเราไม่มีเจ้าภาพชัดเจน รวมทั้งข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ ที่ทำเรื่องนี้ก็ไม่สามารถผูกเชื่อมโยงกันได้  อีกทั้งมนุษย์ดัดแปลงตกแต่งทำร้ายธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งเรื่องวิถีชีวิตในแต่ละพื้นที่จากอดีตก็เปลี่ยนไปตัวอย่างเช่น อยุธยา ซึ่งหลายคนรู้ว่าเดิมเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำต้องท่วมทุกปี การสร้างบ้านของคนอยุธยาในอดีตจะยกใต้ถุนสูง แต่ปัจจุบันเปลี่ยนไปสร้างเป็นบ้านชั้นเดียวติดดินเมื่อถึงฤดูฝนน้ำท่วมแล้วจะไปเหลืออะไร ดังนั้นควรให้ความรู้กับพวกเขาเข้าใจและไม่ควรบุกรุกพื้นที่สีเขียวและควรมีการสร้างให้เขาตระหนักมีจิตสำนึกในการช่วยรักษาธรรมชาติป่าไม้"นายศรีสมบัติ กล่าว

          ปิดท้ายด้วยมุมมองของนายปรีชาผู้ทรงคุณวุฒิกรมโยธาธิการ ชี้ว่า การจะแก้ปัญหาน้ำท่วมหรือภัยพิบัติต่างๆ ตนมองว่าจะต้องวางแผนแบบไม่ใช่แบ่งเขตการปกครองในการวางผังเมือง เราจะแบ่งตามเขตการปกครอง ซึ่งการแก้ปัญหาน้ำท่วมนั้นไม่สามารถทำได้ เพราะบางเขตการปกครองบางจังหวัดมีทั้งพื้นที่ลุ่มน้ำและไม่ลุ่มน้ำอยู่ในจังหวัดเดียวกัน

          ดังนั้น การแก้ปัญหาหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรืออยู่ในพื้นที่ ต้องร่วมกันมองภาพรวมของระบบพื้นที่ลุ่มน้ำ โดยเฉพาะในเขตชุมชนเมือง ซึ่งอบต.-เทศบาลจะมีบทบาทสำคัญ เพราะมีนาจหน้าที่บริหารจัดการอย่างเต็มที่ และมีความพร้อมอย่างมาก

          หากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม หรือภัยพิบัติใดๆ ต่างคนต่างทำเพื่อป้องกันเฉพาะในจังหวัดของตนเองแล้วมันคงแก้ยาก และถ้าทำกันแบบนี้เชื่อว่าอีก 20 ปีข้างหน้าก็แก้ไม่ได้ เพราะการแก้ต้องมองที่ 'ภาพรวมทั้งระบบ'

          "ผมมองว่า รัฐควรมีแผนเฉพาะหน้าในการรองรับ และแผนระยะยาวเตรียมความพร้อม โดยเฉพาะเรื่องของผังเมืองที่ไม่สามารถทำแบบเฉพาะหน้าได้ ต้องมีการกำหนดแบบระยะยาวเป็นแบบเกิน 2 ปี  3 ปี หรือ 5 ปีทำไปพร้อมๆ กัน นอกจากนี้ ยังพบว่าบางพื้นที่ในจังหวัดภาคกลางใกล้กทม.ก็มีการลิดรอนสิทธิ์  เช่น อยุธยา ก็มีการบอกว่าถูกลิดรอนจากคนกทม. เพื่อไม่ให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ โดยการให้พื้นที่อยุธยาเป็นพื้นที่ชะลอน้ำท่วมในกทม. เป็นต้น"

          ทั้งหมดนี้ คือ มุมมองเสียงสะท้อนภาพความจริงที่เป็นอยู่ เพื่อให้รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตระหนักเป็นบทเรียนและเร่งวางแผนป้องกันต่อไป

ที่มา: ข่าวสด ฉบับวันที่ 23 พ.ย. 2553 (กรอบบ่าย)

 

ติดต่อขอคำปรึกษาฟรี   โทร. 063 154 7895 , 084 644 6655 , 097 228 9653


 

กลับขึ้นด้านบน




 

กลับหน้า เรื่องที่ควรรู้




 

 

โทรศัพท์

063 154 7895 , 084 644 6655 , 097 228 9653

บริษัท โฮม แอดวานซ์ โซลูชั่น จำกัด
Home Advance Solutions Co., Ltd.

เลขที่ 369/9 เขตบางพลัด แขวงบางพลัด กรุงเทพฯ 10700

E-mail

info@has.co.th , wearehas@gmail.com

 

free
hit counter